สุขภาพคุยสบาย สไตล์หมอยูโร
?ไตลูกโป่ง?
คนเรามีไต 2 ข้าง ยกเว้นบางคนอาจมีไตข้างเดียว ซึ่งมักไม่มีอาการผิดปกติใดๆ แต่อาจตรวจพบโดยบังเอิญ หรืออาจไม่มีไตเลยตั้งแต่เกิดซึ่งเจอได้น้อยมากและมักเสียชีวิตตั้งแต่เกิด ไตคนเราทำหน้าที่สำคัญคือการกรองเลือดและขับน้ำรวมทั้งของเสียจากร่างกายออกมาในรูปของน้ำปัสสาวะหรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่า ?ฉี่? โดยคำว่า ?ฉี่? นี้มีความพิเศษตรงที่มีความหมายได้หลายอย่างคือ
- เป็นคำกิริยา แปลว่า ถ่ายปัสสาวะ
- เป็นคำนาม แปลว่า น้ำปัสสาวะ
- เป็นคำวิเศษณ์ แปลว่า เสียงดังเช่นนั้น อย่างเสียงของที่ทอดน้ำมัน
- แปลว่า อย่างยิ่ง เช่น เงียบฉี่ ร้อนฉี่
ปกติแล้วฉี่ที่ผลิตออกจากไต จะขับออกมาที่กรวยไต และส่งต่อไปที่ท่อไต และกระเพาะปัสสาวะ ตามลำดับ โดยที่กรวยไตและท่อไตจะมีการบีบรัดทุก 10-20 วินาที เพื่อส่งฉี่ไปที่กระเพาะปัสสาวะ หากมีอะไรก็ตามมาอุดตรงท่อไต เช่น นิ่ว เนื้องอก พังผืด หรือ ท่อไตตีบก็จะทำให้เกิดภาวะไตบวมน้ำ (hydronephrosis) น่าสนใจมากว่าภาวะนี้ในปัจจุบันอาจตรวจพบได้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ หรือที่หมอเรียกว่า ?ไตบวมน้ำก่อนเกิด? (prenatal hydronephrosis) สาเหตุของไตบวมน้ำก่อนเกิดที่พบบ่อยที่สุดคือ โรครอยต่อระหว่างท่อไตและกรวยไตอุดกั้น (ureteropelvic junction obstruction; UPJO) หรือบางครั้งเราเรียกสั้นๆ ว่า ?โรคกรวยไตตีบ? สาเหตุอื่นๆ ที่พบรองลงมาก็เช่น โรคปัสสาวะไหลย้อน (vesicoureteral reflux), โรคกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ (bladder dysfunction) และ โรคลิ้นอุดกั้นท่อปัสสาวะส่วนหลัง (posterior urethral valves) เป็นต้น
?ไตลูกโป่ง? เกิดจากการที่ไตบวมน้ำมากๆ จนขยายขนาดไปเกือบเต็มท้อง แต่เป็นลูกโป่งใส่น้ำ (ปัสสาวะ) ต่างจากลูกโป่งสวรรค์ที่ใส่ลมอย่างทั่วๆ ไป หากไตลูกโป่งถูกทิ้งไว้นานไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เนื้อไตจะค่อยๆ บางลง เด็กจะมีอาการท้องโตขึ้นช้าๆ แต่ทานอาหารได้น้อยลง น้ำหนักไม่ขึ้น ถ้าดื่มนมหรือน้ำหวานจะมีอาการปวดมากขึ้น ร้องไห้งอแง อาเจียน ในบางรายอาจมีอาการฉี่ติดเชื้อร่วมด้วย เช่น ฉี่ขุ่น เหม็นฉุน มีไข้สูง หนาวสั่น หรือท้องเสีย เป็นต้น การที่เนื้อไตบางลงเรื่อยๆ จะเกิดผลเสียคือทำให้การทำงานของไตลดลงเรื่อยๆ เช่นกัน จนในที่สุดไตข้างนั้นอาจไม่ทำงานเลย หากไตลูกโป่งเป็น 2 ข้างอาจเป็นที่มาขอโรคไตวายเรื้องรัง (chronic renal failure) ได้ หากไตวายระยะสุดท้าย (end-stage renal disease) ก็ถึงขั้นต้องฟอกไตกันเลย อย่างไรก็ตามในความโชคร้ายใดๆ นั้นย่อมมีความโชคดีแฝงอยู่เสมอ กล่าวคือไตและกรวยไตของเด็กนั้นมีความยืดหยุ่นค่อนข้างสูง ในบางครั้งถึงแม้จะบวมมากจนเป็นไตลูกโป่ง แต่การทำงานของไตมักจะเหลืออยู่พอสมควรและสามารถกลับมาทำงานใกล้เคียงปกติได้เมื่อเด็กโตขึ้น มีน้อยรายมากที่ไม่เหลือการทำงานเลย
?ไตลูกโป่ง? ให้การวินิจฉัยได้ไม่ยาก โดยทั่วไปคุณหมอจะทำการตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด ตรวจค่าไต อัลตราซาวด์ไต และส่งตรวจสแกนไตต่อไป และให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไป วิธีการรักษาขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง กล่าวโดยย่อคือ - หากน้องไม่มีอาการ เป็นการตรวจพบโดยบังเอิญ ไตบวมน้อย การทำงานไตยังปกติ คุณหมอจะนัดตรวจติดตามอาการไปก่อน เพราะน้องอาจจะหายเองได้
- หากน้องมีอาการผิดปกติ เช่นปวด อืดแน่น ไข้ ปัสสาวะขุ่น ไตบวมมาก การทำงานของไตผิดปกติ คุณหมอจะนัดผ่าตัดแก้ไขตกแต่งกรวยไต (pyeloplasty) ซึ่งการผ่าตัดมีด้วยกันหลายเทคนิค ทั้งผ่าตัดแบบเปิด (open), ผ่าตัดผ่านกล้อง (laparoscopic), และใช้หุ่นยนต์ช่วย (robotic)
- หากน้องมีอาการอักเสบติดเชื้อของไตบวมน้ำ (infected hydronephrosis) คุณหมอจะให้ยาฆ่าเชื้อและอาจจำเป็นต้องเจาะระบายไต (nephrostomy) และรักษาการอติดเชื้อจนหาย แล้วค่อยนัดทำการผ่าตัดแก้ไข
- หากไตบวมน้ำจนเป็นหนอง (pyonephrosis) และสูญเสียการทำงานอย่างถาวร คุณอาจพิจารณาทำการผ่าตัดเอาไตออก (nephrectomy) ซึ่งกรณีมีที่ใช้น้อยมาก
หลังผ่าตัดแล้วคุณหมอจะนัดตรวจติดตามอาการของน้องไปเรื่อยๆ ด้วยการตรวจฉี่ ตรวจเลือดดูค่าไต อัลตราซาวด์ไต และอาจจะมีส่งตรวจแสกนไตร่วมด้วย จนถึงน้องโตเป็นผู้ใหญ่ ในบางรายก็ต้องทำการตรวจติดตามตลอดชีวิต
หากน้องมีอาการผิดปกติดังกล่าวคุณพ่อคุณแม่ควรรีบปรึกษาคุณหมอยูโรในรพ.หรือคลินิกใกล้บ้าน โดยที่คุณหมอจะทำการวินิจฉัยและให้รักษาที่เหมาะสมต่อไป เพื่อที่จะได้ช่วยเก็บรักษาไตของน้องให้ทำงานได้ใกล้เคียงปกติไปให้นานที่สุดครับผม
TUA ขอขอบคุณบทความสุขภาพดีๆ จากผู้เขียน รศ.นพ.พิษณุ มหาวงศ์ รพ.สวนดอก เชียงใหม่ และผู้ตรวจทาน
ผศ.นพ.กิตติพงษ์ พินธุโสภณรพ.ศิริราช กรุงเทพฯ